วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บทที่2 การบริหารสำนักงานอัตโนมัติ

บทที่2
การบริหารสำนักงานอัตโนมัติ

ในปัจจุบันทุกคนไม่สามารถปฏิเสธการใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีได้ เราใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการปฏิบัติงานและภารกิจต่างๆ ไม่ว่าทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งในและนอกสำนักงาน ทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน โดยหลักการมีแนวคิดเพื่อสนองตอบการแข่งขันที่ไร้ขอบเขต ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเส้นทางเดินของข้อมูลในรูปแบบใหม่ซึ่งต้องสะดวก รวดเร็ว และตอบสนองความต้องการของใช้ผู้ใช้ได้อย่างน่าพึงพอใจ

ความรู้พื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยมีชุดคำสั่งระบบ(Software) สั่งการในการทำงานซึ่งเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เป็นพื้นฐานของระบบสำนักงานอัตโนมัติ
Internal Memory เป็นหน่วยความจำทำหน้าที่รับและเก็บข้อมูล จะแบ่งเป็นห้องเล็กๆมากมายเรียกว่า Storage ใช้เก็บข้อมูลต่างๆ

ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์
มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่

1. ตัวเครื่อง (Hardware) ได้แก่อุปกรณ์ต่างๆ
1.1 หน่วยรับข้อมูล ได้แก่ เมาส์ คีย์บอร์ด จอสัมผัส
1.2 หน่วยประมวลผลกลาง หรือ CPU
1.3 หน่วยแสดงผล ได้แก่ จอมอนิเตอร์ Printer

2. คำสั่งเครื่อง (Software)
2.1 คำสั่งระบบ (System Software)
- โปรแกรมควบคุมระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการ (OS)
- โปรแกรมสนับสนุนระบบ เช่น บริการอรรถประโยชน์ (Utilities)
- โปรแกรมพัฒนาระบบงาน เช่น โปรแกรมแปลภาษา
2.2 คำสั่งประยุกต์ (Application Software) โปรแกรมที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้งานต่างๆ เช่น ด้านการคำนวณ การประมวลผล การจัดพิมพ์ ฐานข้อมูล กราฟฟิค เป็นต้น

3. คน (People ware) เช่น ผู้ใช้ (User) ผู้เขียนโปรแกรม (Programmer)

ประเภทของคอมพิวเตอร์
1. แบ่งตามวัตถุประสงค์การใช้งาน
1.1 ใช้งานทั่วไป เช่น คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC)
1.2 ใช้งานเฉพาะอย่าง เช่น คอมพิวเตอร์ในอุตสาหกรรมรถยนต์

2. แบ่งตามลักษณะข้อมูล
2.1 Analog ใช้สำหรับข้อมูลหรือเงื่อนไขที่ต่อเนื่อง เช่น อุณหภูมิ ความกดดันอากาศ กระแสไฟฟ้า เป็นต้น
2.2 Digital ใช้จำนวนหรือตัวเลขในการแปลงรหัสสัญญาณแล้วแปลงผลออกมาในรูปตัวเลขและตัวอักษร
2.3 Hybrid เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีของ Analog และ Digital สามารถทำงานได้ทั้งรูปแบบการวัดค่าต่อเนื่ององและการคำนวณประมวลผล

3. แบ่งตามขนาด
3.1 ขนาดใหญ่ ได้แก่ Mainframe
3.2 ขนาดกลาง ได้แก่ Minicomputer Laptop (Notebook)
3.3 ขนาดเล็ก ได้แก่ Microcomputer (PC)

เทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์

ประกอบด้วยรูปแบบพื้นฐาน ได้แก่

1. VDT (Video Display Terminal) เป็นที่ซึ่งข้อมูลและโปรแกรมจะถูกป้อนข้อมูลเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์รวมทั้งคีย์บอร์ด อุปกรณ์การป้อนเข้าที่สำคัญ
2. Magnetic Tape มีลักษณะเป็นม้วนเทปแม่เหล็กจะเก็บข้อมูลเป็นจุดแม่เหล็ก ส่งไป Internal Memory ภายในคอมพิวเตอร์
3. Magnetic Disks จะมีที่พักเก็บทั้งสองด้าน ข้อมูลถูกบันทึกในDiskด้วยรูปแบบจุดแถบแม่เหล็ก
4. Scanning เป็นอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ใช้อ่านข้อมูลแล้วส่งผ่านเข้าคอมพิวเตอร์
4.1 Bar Code Reader เครื่องScannerจะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ซึ่งบรรจุชื่อสินค้าและราคา นอกจากนี้ยังใช้อ่านแฟ้มในสถานพยาบาลและสำนักงานทนายความด้วย
4.2 OCR (Optical Character Reader/Recognition) จะผ่านวัตถุดิบแล้วแปลงเป็นคำสั่งผ่านเข้าคอมพิวเตอร์ สามารถรับวัตถุดิบได้หลายรูปแบบ เช่น รูปภาพ แบบฟอร์ม อักษรการพิมพ์
5. คำพูด (Speech) เสียงมนุษย์ใช้เป็น Input โดยอาจต้องจำกัดศัพท์ วลีสั้นๆ และความต่อเนื่องของคำ
6. รูปและภาพ (Graphic & Image) โดยใช้อุปกรณ์เคลื่อนรอบจอหรือใช้เขียนหรือใช้สัมผัสในบริเวณกำหนด เช่น เมาส์ ปากกา และจอสัมผัส

เทคโนโลยีส่วนกระบวนการ

1. หน่วยความจำ (Memory Unit) เป็นที่เก็บข้อมูลและโปรแกรมชั่วคราวทั้งก่อน ระหว่าง และหลังปฏิบัติในกระบวนการถือเป็นการเก็บขั้นแรก (Primary Storage) และเก็บอยู่ในตัวเครื่อง แบ่งเป็น
1.1 Read-Only Memory หรือ ROM เป็นการบันทึกถาวร ผู้ใช้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงและข้อมูลจะไม่ถูกทำลาย
1.2 Random-Access Memory หรือ RAM เป็นความจำชั่วคราว ถ้าปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ข้อมูลในRAMจะหายไปเพราะเป็นเพียงการทำงานบนที่ว่างในคอมพิวเตอร์

2. หน่วยคำนวณ (Arithmetic-Logic Unit) ใช้ในการคำนวณคณิตศาสตร์และตรรกวิทยา

3. หน่วยควบคุม (Control Unit) มีการควบคุมและสนับสนุนตามโปรแกรมที่กำหนด

เทคโนโลยีส่วนแสดงผล

1. VDT ข้อมูลที่ป้อนเข้ามาจะแสดงบนจอมอนิเตอร์
2. เครื่องพิมพ์ (printers) เป็นการจัดพิมพ์บนกระดาษ (Hard Copy)
2.1 Impact Printers สร้างงานโดยการพิมพ์ผ่านผ้าหมึกลงบนกระดาษลักษณะเช่นเดียวกับการพิมพ์ดีด
2.2 Non Impact Printers เป็นวิธีการเชื่อมของแสงเลเซอร์และเทคนิคการถ่ายเอกสารมีทั้งแบบที่นิยมคือ Laser Printer กับ Inkjet Printer

3. เสียง (Voice/Audio Response) สร้างเสียงสะท้อนจากข้อมูลที่ได้รับมาสู้ระบบการแสดงผลด้วยเสียงเช่นกัน

4. อุปกรณ์อื่น เช่น โมเด็ม ใช้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับสายโทรศัพท์เคลื่อนย้ายข้อมูลผ่านสาย

เทคโนโลยีส่วนการเก็บ
1. Magnetic Tape ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่เพื่อเก็บข้อมูลเรียงลำดับ
2. Magnetic Disk ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลโดยใช้พื้นที่สะดวกกว่าประกอบด้วย
2.1 Floppy Disk เป็นแผ่น Disketteที่ยืดหยุ่นใช้กับMinicomputerมีต้นทุนต่ำ
2.2 Hard Disk ทำจากอลูมิเนียมที่ทนทาน ข้อมูลเก็บได้ในปริมาณที่มากกว่า และการค้นหาข้อมูลก็รวดเร็วกว่า

3. Optical Disk เป็นสื่อรุ่นใหม่ในการเก็บข้อมูลโดยติดต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านแสงเลเซอร์ ทนทานความร้อนและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ข้อมูลนำมาใช้ได้ดีและเร็วกว่า Magnetic Disk
3.1 Compact Disc Read-Only Memory (CD-ROM)
3.2 Database Management System (DBMS)

เทคโนโลยีส่วนควบคุม

การควบคุมสำคัญต่อระบบคอมฯ คือ การควบคุมทรัพยากร มนุษย์ (Human Control) เกี่ยวกับกฎระเบียบการปฏิบัติงาน และการควบคุมเทคโนโลยี (Technological Control) ซึ่งต้องมีการควบคุมระบบอย่างเหมาะสม โดยใช้สมองของคอมฯเป็นหน่วยควบคุมและต้องปฏิบัติการดังนี้
1. ควรมีคำแนะนำหรือคำสั่งที่เหมาะสม ในหน่วยควบคุม เช่น การตรวจสอบโปรแกรม เป็นต้น
2. ควรมีการควบคุมกันเองภายในเครื่องคอมพิวเตอร์
3. ควรควบคุมให้มีการแสดงผลอย่างถูกต้องเหมาะสม กับเทคโนโลยี และอุปกรณ์ของการแสดงผลในรูปแบบต่างๆ เช่น การพิมพ์ การ Plotting COM เป็นต้น

สำนักงานอัตโนมัติ Office Automation: OA

ความหมายของสำนักงานอัตโนมัติ
สำนักงานอัตโนมัติ หรือ OA เป็นกระบวนการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology: IT) มา ประยุกต์ใช้ในสำนักงาน โดยการรวบรวม นำเครื่องมืออุปกรณ์อัตโนมัติและเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ ตลอดจนการติดต่อสื่อสารด้านอิเล็กทรอนิกส์ มาประกอบกันทำให้เกิดงานในสำนักงานกลายเป็นอัตโนมัติ

หน้าที่และระบบข้อมูลหลักใน OA

1. ลักษณะ หรือรูปแบบของข้อมูลที่เกิดขึ้นในสำนักงาน คือ ภาพ เสียง ตัวเลข อักษร ข้อมูล และคำพูด
2. แสดงถึงกิจกรรมวงจรข้อมูลพื้นฐาน
3. ระบบหลักที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อกิจกรรมวงจรข้อมูล
4. ระบบเครือข่ายที่เรียกว่า LAN (Local Area Network) ทำการเชื่อมต่อหน้าที่ของระบบทั้งสี่ระบบ
5. กิจกรรมหลัก และองค์ประกอบของระบบอัตโนมัติ

ระบบสารสนเทศของ OA

1. ระบบการจัดการด้านเอกสาร (Document Management System: DMS)
1.1 การประมวลผลคำ (Word Processing)เป็น โปรแกรมสำเร็จรูปที่ใช้สำหรับช่วยในการพิมพ์เอกสารต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น โดยมีจุดเด่นคือสามารถที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดเวลา โปรแกรมสำเร็จรูปประเภทประมวลคำมีหลายโปรแกรม ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เช่น CU-Writer เวิร์ดราชวิถี Word perfect Word Star และไมโครซอฟต์เวิร์ด (Microsoft word) เป็น ต้น โดยส่วนมากโปรแกรมประเภทนี้จะช่วยสร้างเอกสาร แก้ไข จัดรูปแบบ ขอบเขตของเอกสาร การบันทึกเอกสาร การคัดลอกหรือการย้ายข้อความเป็นบล็อก การค้นหาคำ การแทนที่คำ การตรวจสอบคำผิด และการทำจดหมายเวียน ไมโครซอฟต์เวิร์ด 97 ยังมีความสามารถพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น การตรวจคำและไวยากรณ์ การนับคำ และความสามารถในการเรียกข้อความขึ้นมาดูก่อนสั่งพิมพ์
1.2 การประมวลภาพ (Image Processing) เป็นระบบที่มีการประมวลผลโดยอาศัยรูปภาพ ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างยิ่ง โดยการอาศัยอุปกรณ์ในการสแกนภาพเข้าไปในคอมพิวเตอร์โดยใช้เครื่องสแกนเนอร์ (Scanner) ต่อเชื่องกับเครื่อง คอมพิวเตอร์และเครื่องเลเซอร์ จากนั้นเข้าสู่โปรแกรมการสแกนภาพ ซึ่งโปรแกรมนี้จะทำหน้าที่ในการติดต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ หากอุปกรณ์ใดไม่พร้อมโปรแกรมจะแสดงข้อเตือน ภาพที่ถ่ายเข้าไม่สามารถที่จะปรับแต่ง ย่อ ขยาย หรือใส่ข้อความประกอบเข้าไป เช่น โปรแกรม Aldus PageMaker ไมโครซอฟต์ออฟฟิศ การประมวลภาพ มักนิยมใช้ร่วมกับระบบบริการต่าง ๆ โดยผ่านเครือข่าย เฉพาะที่
1.3 การจัดพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Publishing)สำนักงานในปัจจุบันนิยมใช้มาก เนื่องจากสามารถใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องเฉพาะ เดสท์ทอป พับลิชชิ่งเป็นเทคโนโลยีพัฒนามาจากเวิร์ดโปรเซสซิ่ง โดยเป็นการผสมระหว่างซอฟต์แวร์ทางด้านเวิร์ดโปรเซสซิ่ง ที่มีความสลับซับซ้อนกับโปรแกรมด้านกราฟิก สามารถใช่แบบตัวอักษร (Font) ได้ หลายภาพ หลายแบบ การใช้สี ภาพที่ได้จากการสแกนเนอร์รวมทั้งการใช้เครื่องพิมพ์เลเซอร์ ความละเอียดสูง ทำให้เอกสารภาพที่ได้มีความคมชัดเจน ละเอียด โดยทั่วไปหน่วยงานที่นำโปรแกรมเดสท์ทอป พับลิชชิ่งมาใช้กับการทำรายงาน วารสาร แผ่นพับ และเอกสารต่าง ๆ โดยสามารถเพิ่มความเร็วในการทำงาน และลดค่าใช้จ่ายทางด้านบุคลากรที่ขาดแคลน โปรแกรมประเภทนี้ที่นิยมใช้ได้แก่ PageMaker Corel draw Microsoft Power Point เป็นต้น ในส่วนของฮาร์ดแวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ควรจะมีหน่วยความจำตั้งแต่ 16 เมกกะไบต์ (MB)ขึ้นไป และควรจะมีความละเอียดบนจอภาพตั้งแต่ 800 x 600 จุด ขนาดของจอภาพ (Monitor)ตั้งแต่ 14” ขึ้นไป แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวโปรแกรมและความละเอียดของภาพ ขนาดของจอภาพ เป็นต้น
1.4 การผลิตเอกสารหลายชุดหรือการทำสำเนา (Reprographics)เป็น กระบวนการทำสำเนาเอกสารต่าง ๆ การทำสำเนารายงานจดหมาย และเอกสารอื่น ๆ เพื่อที่จะสามารถแจกจ่ายเอกสารให้กับผู้เกี่ยวข้อได้รวดเร็ว ในสมัยนี้การพิมพ์สำเนาเอกสาร จำนวนมากนิยมใช้เครื่องระบบสำเนาอัจฉริยะ (Intelligent copier system) โดย เอาเครื่องนี้ต่อเขื่อมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดกลาง หรือ ขนาดเล็ก และต่อเข้ากับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ วิธีการทำเอกสารจะถูกทำขึ้นที่เครื่องคอมพิวเตอร์ และส่งมายังเครื่องอัดสำเนา ซึ่งเครื่องอัดสำเนาจะพิมพ์สำเนา ตามที่ผู้ใช้ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
1.5 การเก็บรักษา (Archival Storage) เป็น การเก็บรักษาข้อมูลในหน่วยความจำสำรอง เช่น เทปแม่เหล็ก ไมโครฟิลม์ (Microfilm) แผ่นจานแม่เหล็ก หรือแผ่น CD เป็น ต้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลปริมาณและรูปแบบหลากหลาย ที่ องค์การจึงต้องเก็บรักษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ มิให้เกิดการสูญหาย ความล่าช้าในการใช้งาน การทำลายข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ หรือการโจรกรรม ซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินงานของธุรกิจได้


2. ระบบการจัดการด้านข่าวสาร (Message Handling System: MHS)
2.1 โทรสาร (Facsimile) หมายถึงกรรมวิธีในการถอดแบบเอกสารหรือรูปภาพโดยทางคลื่นไฟฟ้า, เดิมใช้โทรภาพ; เอกสารซึ่งส่งหรือรับด้วยกรรมวิธีดังกล่าว
2.2 E-mail ย่อมาจาก: Electronic Mail ความหมาย: จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เป็นข้อมูลที่มีการรับและส่ง โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยผ่านเครือข่ายของ การสื่อสาร
2.3 Voice mail หมายถึง การส่งข้อความและเสียงในรูปแบบเมลล์เสียง

3.ระบบการประชุมทางไกล (Teleconferencing System: TS)
3.1 การประชุมด้วยภาพและเสียง (Video Conferencing)
3.2 การประชุมด้วยเสียง (Audio Conferencing)
3.3 การประชุมด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer Conferencing)
3.4 โทรทัศน์ภายใน (In-House Television)
3.5 ระบบสื่อสารทางไกล (Telecommuting)

4. ระบบสนับสนุนสำนักงาน (Office Support System: OSS)
4.1 คอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบ (Computer Aided Design: CAD)
4.2 การนำเสนอ (Presentation)
4.3 กระดานข่าวสาร (Bulletin Board)
4.4 โปรแกรมเครือข่ายกลุ่ม (Groupware)
4.5 ระบบการจัดระเบียบงาน (Desktop Organizer)

ประโยชน์ของสำนักงานอัตโนมัติ : OA

1. ประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะการจัดเตรียมเอกสารกระดาษ การจัดส่ง การรับ การจัดเก็บและการทำลาย รวมทั้งงบประมาณในการจัดจ้างผู้ดำเนินการในแต่ละขั้นตอน
2. การเพิ่มประสิทธิภาพในสำนักงาน ลดขั้นตอนเวลาในการพิมพ์ผิด การตรวจสอบแก้ไข ปรับปรุง
3. ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องรวดเร็วขึ้น เนื่องจากความถูกต้องแม่นยำ และความรวดเร็วในการสืบค้น
4. ผู้ปฏิบัติงานมีความภาคภูมิใจในสำนักงาน แ ละหน่วยงานมากขึ้น เนื่องจากมีสำนักงาน เครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย รวดเร็วประหยัดเวลาในการทำงาน
5. หน่วยงานและสำนักงานมีภาพลักษณ์ที่ดี สำหรับหน่วยงานภายใน ที่ได้รับการบริการ และการติดต่อสื่อสารที่ถูกต้องรวดเร็วทันสมัย

การประยุกต์ใช้ OA

1. POS (Point – Of – Sale) เป็นจุดขาย มักพบตามร้านค้าปลีก ในระบบ Laser Scanner ช่วยในการอ่านสินค้า ราคา และรายละเอียดสินค้า
2. ATM (Automated Teller Machine) เป็นส่วนที่นิยมใช้ในการฝากถอนและบริการชำระค่าสาธารณูปโภค โดยใช้รหัสผ่านของแต่ละคน
3. DSS (Decision Support System) บางครั้งเรียกว่า EIS (Executive Information System) จะรวบรวมข้อมูลจากแหล่งภายใน และภายนอกบริษัทเข้ามาอยู่ในแฟ้มข้อมูลเพื่อช่วยในกรตัดสินใจ
4. CASE (Computer-Aided Software Engineering) ใช้ในงานเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ
5. หุ่นยนต์ (Robots) เป็นเครื่องจักรกลอัตโนมัติสำหรับใช้ในงานซ้ำซ้อน

การบริหาร OA

การวางแผนและจัดองค์การระบบ OA
ก่อนอื่นต้องเข้าใจความสามารถของคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีเพื่อตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด ที่จะเปลี่ยนแปลงการบบริหารสำนักงานแบบเดิมมาใช้แบบอัตโนมัติ โดยต้องเริ่มจากการศึกษาความเหมาะสม หรือ FS ซึ่งต้องวิเคราะห์ในประเด็นต่าง ๆ เช่น
- ข้อมูลที่บริษัทต้องการ
- ข้อเสนอของผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ที่ตอบสนองความต้องการของบริษัท
- ทัศนคติและความคิดของพนักงานในการปรับปรุงระบบบริหารสำนักงาน

โดยทั่วไป คอมพิวเตอร์จะเหมาะสมถ้าสถานการณ์ของระบบข้อมูลในสำนักงานมีลักษณะ ดังนี้

1. ปริมาณข้อมูลมีมาก มีแฟ้มข้อมูลใหม่เกิดขึ้นมาก และมีปริมาณการใช้สูง
2. มีความต้องการรายงานที่ถูกต้องและการประมวลผลที่รวดเร็ว
3. มีลักษณะงานเป็นกิจวัตร ตามเวลา ซ้ำ ๆ และจำนวนมาก
4. มีความต้องการการบริหารระบบข้อมูลต่อเนื่อง
5. ต้องการลดต้นทุนต่อหน่วยของการประมวลผลข้อมูล
6. ลูกค้าต้องการบริการสะดวกและรวดเร็วขึ้น
7. มีบันทึกหรืองานเอกสารในสำนักงานเป็นจำนวนมาก

ผู้บริหารระดับสูงอาจมีการตรวจตราโดยใช้ใบตรวจสอบรายการ (Checklist) เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยในการเลือกซื้อ และตัดสินใจ และมักมีความสำคัญกับการประสานสำนักงานเป็นหนึ่งเดียว คือมีระบบเชื่อมโยงทุกด้าน หรือพูดง่าย ๆ คือ เป็น OA ที่แท้จริงหลังจากวางแผนกำหนดระบบ OA แล้วต้องมีการจัดองค์การเพื่อติดตั้งในสถานที่ให้เหมาะสม ในบริษัทขนาดเล็กที่ใช้เพียง Minicomputer อาจให้ผู้บริหารสำนักงานรับผิดชอบโดยจัดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก แต่สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ ต้องมีหน่วยงานรองรับ โดยเป็นศูนย์สารสนเทศส่วนกลางประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ ด้านคอมพิวเตอร์ นักวิเคราะห์ โปรแกรมเมอร์ และผู้ปฏิบัติงานคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะดูแลงานส่วนกลางและรายงานต่อผู้อำนวยการฝ่ายระบบสารสนเทศ หรือผู้บริหารระดับสูงโดยตรง
การ จัดตั้งองค์การเพื่อระบบงาน OA ขึ้น อยู่กับขนาดของคอมพิวเตอร์และเป้าหมายที่กำหนดไว้สำหรับระบบ ซึ่งควรมีการจัดระบบฝึกอบรมและการแนะนำดูแลพนักงานที่ต้องเกี่ยวข้อง กับระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้เกิดความระมัดระวัง และไม่เกิดผลกระทบเชิงลบ

การดูแลรักษาความปลอดภัย OA

1. ป้องกันสื่อแม่เหล็ก จากการวางหรือเก็บไม่เหมาะสม และต้องป้องกันจากฝุ่น และการแตกหัก
2. จัดทำการสำรองข้อมูล โดยมีแผ่นต้นฉบับ และแผ่นสำเนา
3. จัดตั้งวิธีการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการเข้าระบบ โดยไม่ได้รับอนุญาต
4. ให้การดูแลและตรวจวัดระบบรักษาความปลอดภัย
5. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส
6. ปัญหาอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ที่มีเพิ่มขึ้น เป็นปัญหาระดับชาติโดยการแอบเข้าไปในระบบผู้อื่นแล้ว นำข้อมูลมาขาย ผู้บริหารสำนักงานควรป้องกันข้อมูล โดยการสำรองเก็บตลอดจนเพิ่มระบบรักษาความ ปลอดภัยอย่างเข้มงวด

การประเมินค่าของระบบ OA

การประเมินค่าของระบบงานอื่น ๆ เพื่อระบุว่าการจัดทำระบบ OA บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการหรือไม่ดีเพียงใดและมีประโยชน์มากน้อยเพียงใด ให้พิจารณาจากคุณค่าของระบบคอมพิวเตอร์ใน OA ที่มีคุณประโยชน์ดังต่อไปนี้

1. มีการช่วยเหลืออย่างสมเหตุสมผล เพื่อการแก้ปัญหาข้อมูลและปัญหาในการประมวลผลข้อมูล
2. มีการควบคุมการจัดเตรียมข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
3. มีการชี้แจงและนับแหล่งเอกสารทั้งหมดของข้อมูลอย่างมีประสิทธาภาพ
4. มีกระบวนการมาตรฐานเพื่อส่งคืนเอกสารจากต้นเรื่อง
5. ผลลัพธ์ที่ได้บรรลุเป้าหมายระบบ
6. จัดทำตารางเวลาทำงานมีความสมเหตุสมผลอันจะช่วยสร้างขวัญกำลังใจพนักงาน
7. มีต้นทุนกระบวนการปฏิบัติของข้อมูลลดต่ำลง
8. มีการควบคุมข้อมูลที่เก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างเข้มงวดรัดกุม

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การใช้เทคโนโลยีในธนาคาร

เทคโนโลยีกับการพัฒนาที่รวดเร็ว
การพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หลายสิ่งหลายอย่างล้าสมัยลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์สำนักงาน เครื่องเล่นสื่อแห่งความบันเทิง รวมทั้งผู้คนด้วย ท่านที่ทำงานในสำนักงานจะเห็นว่าอุปกรณ์สำนักงานในวันนี้กับเมื่อ 20 ปีก่อนเปลี่ยนไปมาก เครื่องเล่นสื่อแห่งความบันเทิง พวกวิทยุ โทรทัศน์ หรือ เทป ก็เช่นกัน ผู้คนก็ดูเปลี่ยนแปลงไป คนทำงานในสำนักงานก็ดูเปลี่ยนไป เข้าใกล้หุ่นยนต์เข้าไปทุกที เหมือนถูกตั้งโปรแกรมไว้ให้สวัสดี ให้ทำงาน ให้พูดประโยคซ้ำๆอย่างนี้ อย่างขาดจิตวิญญาณ คนที่ไม่ปรับตัวให้รับและทำงานกับเทคโนโลยีใหม่ๆได้ อาจกลายเป็น "วัตถุโบราณ" ในสำนักงาน ที่พร้อมจะถูกโละทิ้งได้ทุกเวลา


การรับเทคโนโลยีอาจเป็นสิ่งจำเป็น และจำเป็นมากขึ้นทุกวัน แต่ขอให้รู้ทัน รู้จักใช้เทคโนโลยีให้เป็น ขอจงอย่าเป็นทาสเทคโนโลยี แต่จงใช้เทคโนโลยีให้เป็นทาส สำนักงานหลายแห่ง พอระบบคอมพิวเตอร์มีปัญหา ก็ไม่สามารถให้บริการกับลูกค้าได้ ทั้งๆที่เมื่อ 20 กว่าปีก่อน เราไม่มีคอมพิวเตอร์ เราก็สามารถทำงานได้


ผมได้ยินคำว่า "คอมพิวเตอร์" ครั้งแรกเมื่อปี 2515-2516 จากนาฬิกาข้อมือยี่ห้อ ORIENT ซึ่งเริ่มนำระบบตัวเลขมาใช้แทนระบบเข็ม เรียกชื่อรุ่นอย่างโก้หรูว่า ORIENT COMPUTER มีราคาแพง คนฐานะดีเท่านั้นที่จะหาซื้อมาใช้ได้ ต่อมาไม่นานก็มีราคาถูกลง ระบบตัวเลขเรียกว่า DIGITAL ระบบเข็มเรียกว่า ANALOG นาฬิกาคอมพิวเตอร์ก็เรียกว่า นาฬิกา QUARTZ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเลขแล้ว เพราะนาฬิกา QUARTZ ก็เป็นระบบเข็มได้ บางเครื่องมีทั้งระบบเข็มและระบบตัวเลข ทุกวันนี้นาฬิกา QUARTZ มีราคาถูกลงมาก ส่วนนาฬิกาไขลาน หรือ AUTOMATIC หายาก และกลายเป็นของแพงไปแล้ว


ในช่วงเดียวกันนี้ผมก็เริ่มเห็นวิทยุเทป แต่ก่อนนั้นวิทยุประกอบด้วยอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายๆหลอดไฟ (ไม่ทราบว่าเรียกอะไร) ต่อมาเปลี่ยนเป็นระบบทรานซิสเตอร์ ซึ่งทำให้วิทยุมีขนาดเล็กลงมาก ต่อมาก็มีเครื่องเล่นเทปออกมาแทนเครื่องเล่นแผ่นเสียง (เด็กรุ่นใหม่ส่วนมากไม่เคยเห็นแผ่นเสียง) แล้วต่อมาก็นำระบบเทปมารวมกับวิทยุ AM/FM กลายเป็นวิทยุเทป ผมยังจำความตื่นเต้นในสมัยเด็กๆได้ดี วันที่พี่ชายผมนำวิทยุเทปมาอวดพ่อ มันสามารถบันทึกเสียงที่เราพูดได้ มันสามารถบันทึกเสียงในวิทยุได้ ดูมันช่างวิเศษจริงๆ โทรทัศน์ในวันนั้นยังเป็นโทรทัศน์ขาวดำ บ้านผมยังไม่มีไฟฟ้าใช้ หากจะซื้อโทรทัศน์มาดู มี 2 วิธี คือ 1. ใช้แบตเตอรี่ และ 2. ใช้เครื่องปั่นไฟ โทรทัศน์ขาวดำขนาด 17 นิ้ว (ไม่ต้องงงนะครับ สมัยก่อนมี 17 นิ้วจริงๆ) เครื่องหนึ่งราคาเกือบหมื่น (เมื่อเทียบกับข้าวสารถังละ 30 บาท ทองคำบาทละ 400 บาท)


สมัยนั้นบ้านที่มีโทรทัศน์ดู ต้องมีฐานะดี บ้านผมฐานะไม่ค่อยดีแต่มีโทรทัศน์ดูได้ เพราะน้าสาวเป็นเจ้าของร้านขายโทรทัศน์ จึงพอเจียดเงินผ่อนมือสองมาดูได้ แบบชนิดต้องซ่อมทุกเดือน สัญญาณก็ไม่ค่อยดี ต้องขึ้นเสาอากาศสูงลิบ และเสาอากาศนี่แหละที่เป็นสัญญลักษณ์ของความมีฐานะในสมัยก่อน


หลังจากนั้น10 ปี หรือช่วง 2525-2526 เป็นยุคของโทรทัศน์สี เพราะราคาของโทรทัศน์สีเริ่มถูกลง ขนาด 14 นิ้ว เหลือเพียงประมาณ 15,000 บาท แล้วเข้าสู่ยุคของเครื่องเล่นวีดีโอ สมัยนั้นผมเรียนหนังสือและอยู่หอพัก เพื่อนๆที่มีฐานะดี มักจะหารายได้พิเศษโดยการขนโทรทัศน์(บางคนก็โทรทัศน์สี บางคนก็ขาวดำ) พร้อมเครื่องเล่นวีดีโอ มาฉายเก็บเงินเหมือนเป็นโรงหนัง ทำรายได้ไม่น้อยเลย


ในช่วงเดียวกันนี้ ก็มีวิชาใหม่ เปิดให้ลงทะเบียนเรียน นั่นคือวิชาคอมพิวเตอร์ อาจารย์ที่สอนก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาของผมนั่นเอง ดังนั้นผมจึงตัดสินใจไม่เรียน เพราะผมกลัวไม่ผ่าน และเพราะผมรู้จักอาจารย์ของผมดี อาจารย์ผมเป็นพูดน้อย และคนฟังมักจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง อย่าหาว่านินทาครูบาอาจารย์เลยนะ ผมว่าคนเป็นดอกเตอร์หลายๆคน เป็นอย่างอาจารย์ผมที่แหละ เพื่อนผม 4-5 คน เป็นหน่วยกล้าตายไปลงทะเบียนเรียนคอมพิวเตอร์ พอเรียนจบคอร์ส ถามมันว่าได้อะไรบ้าง มันตอบว่าไม่ค่อยได้อะไร ได้แต่เจาะกระดาษ ไม่รู้เจาะไปทำไม


ในระบบธนาคาร ถ้าผมจำไม่ผิด ธนาคารไทยพาณิชย์เป็นธนาคารแห่งแรกที่นำระบบ ATM หรือเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ มาให้บริการ ผมงงเป็นไก่ตาแตก มันทำได้ยังไวหวา จากนั้นมาธนาคารหลายธนาคารก็ได้พัฒนาตามจนเป็นระบบฝากถอนแบบ ONLINE หรือฝากถอนต่างสำนักงานได้ด้วยสมุดฝาก และบัตร ATM จนถึงวันนี้ (ปลายปี 2550) ระบบธนาคารพัฒนาถึงขั้นถอนเงินด้วยบัตร ATM กับตู้ต่างสาขา ต่างธนาคาร ต่างจังหวัดได้ โอนเงินไปต่างสาขา ต่างธนาคารได้ทั่วประเทศ สำหรับผม ผมได้ใช้บริการโอนเงินทางอินเตอร์เน็ตได้บนโต๊ะทำงานของผมเอง จะไปธนาคารก็เฉพาะเวลานำเงินไปฝากเท่านั้น แต่ก่อนนั้นผมงงว่าเขาทำได้อย่างไร เชื่อว่าหลายๆท่านก็คงงงเช่นกัน คำตอบง่ายๆก็คือ ข้อมูลมันผ่านทางระบบโทรศัพท์ครับ


ปี 2529 ผมเริ่มทำงานธนาคาร ธนาคารที่ผมทำงานครั้งแรกเพิ่งเริ่มใช้ระบบออนไลน์สำหรับเงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวัน ส่วนเงินฝากประจำ และเงินกู้ยังใช้ระบบโบราณ ต่อมาผมเริ่มเห็นคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปครั้งแรก ในระบบงานด้านดร๊าฟ ผมมีโอกาสได้สัมผัสคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปครั้งแรกตอนเข้าช่วยงาน CONVERT ระบบเงินฝากประจำแบบโบราณ เป็นระบบ OFFLINE เมื่อปี 2533


ต่อมาคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปก็ได้เข้ามามีบทบาทกับการทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนนั้นฮาร์ดดิสมีขนาดประมาณแบตเตอรี่รถเก๋ง หนักมาก และมีสายต่อรกรุงรังไปหมด ผมใช้คอมพิวเตอร์แบบงูๆปลาๆ เฉพาะกับงานที่จำเป็น สมัยนั้นใครต่อพ่วงสายคอมพิวเตอร์เป็นก็เก่งมากแล้ว ต่อมาไม่นานชะตาของเครื่องพิมพ์ดีดก็มีวี่แววว่าจะขาด เพราะคอมพิวเตอร์สามารถพิมพ์งานเอกสารได้ด้วยโปรแกรมต่างๆ เช่น เวิร์ดจุฬา เวิร์ดราชวิถี โลตัส 1-2-3 เป็นต้น


ประมาณ ปี 2535 เริ่มมีวินโดวส์ 3.11 ใช้ (เริ่มใช้เมาส์) ผมยังใช้ไม่เป็นอยู่ดี ในวงการเพลงเริ่มมี CD ออกขายแล้ว แผ่นละประมาณ 400 บาท เครื่องเล่นอย่างถูกๆ ก็เกือบหมื่น ส่วนวงการหนัง ยังเป็นวีดีโออยู่ ราคาเครื่องเล่นวีดีโอก็ถูกลงมามาก จำได้ว่าผมซื้อเครื่องเล่นวีดีโอเครื่องแรกแบบเล่นอย่างเดียว(อัดไม่ได้) ในปี 2536 ราคา 6,800 บาท และราคาก็ถูกลงมาเรื่อยๆ จนเหลือไม่ถึงสี่พันบาท เมื่อเครื่องเล่น VCD ออกมาในราคาประมาณห้าพัน และถูกลงมาเรื่อยๆจนเหลือพันกว่าบาท และพัฒนาเป็นเครื่องเล่น DVD ในที่สุด


สำหรับแผ่น CD เพลง และ VCD มีราคาถูกลงจากประมาณ 400 บาท ค่อยๆลดลงมาจนเหลือ 99 บาท ส่วนเลเซอร์ดิสก์ มีออกมาขายอยู่ระยะหนึ่งประมาณ ปี 2533-35 เนื่องจากมีราคาสูงมาก จึงสูญพันธุ์ไปในที่สุด


ผมทำงานใหม่ๆ ผมเป็นดาวเด่นในเรื่องงานเอกสาร เพราะผมพิมพ์สัมผัสได้เร็วกว่าคนอื่น เวลาผ่านไปเมื่อคอมพิวเตอร์เข้ามามีบาท ผมเริ่มไหวตัวแล้วว่าพิมพ์ดีดมันต้องมีชะตากรรมเดียวกับลูกคิด ที่ถูกเครื่องคิดเลขเข้ามาแทนที่ (คนเรียนพาณิชย์ในรุ่นเพื่อนๆผมต้องเรียนพิมพ์ดีด และลูกคิด) ผมจึงหาโอกาสไปเรียนคอมพิวเตอร์(ที่ผมเคยปฏิเสธตอนยังเรียนหนังสือ) ผมเรียนในปี 2538 ที่โรงเรียนสยามคอมพิวเตอร์ แถวสยามสแคว ค่าเรียน 1,500 บาท เรียนวินโดวส์ 3.11 อย่างเดียว ผลการเรียนดีมากครับ ไม่รู้เรื่องเลย


ผมยังไม่ละความพยายาม ผมพยายามหาซื้อหนังสือมาอ่าน แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะขนาดหนังสือผมยังซื้อมาผิด ผมคิดได้ว่า ผมว่ายน้ำเป็นเพราะผมตกน้ำบ่อย ผมพายเรือเป็นเพราะผมพายบ่อย ผมขี่จักรยานเป็นเพราะผมซื้อจักรยานเป็นของตัวเอง ขี่มอเตอร์ไซค์เก่งเพราะซื้อมอเตอร์ไซค์เป็นของตัวเอง ขับรถยนต์ได้เพราะซื้อเป็นของตัวเอง ผมจึงตัดสินใจซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในปี 2539 สเป็ค CYRIX 100 MHZ. RAM 16 MB. HARDDISK 1.2 GB ราคา 27,000 บาท เครื่องสำรองไฟอีกตัวละ 4,500 บาท ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 3.11 และ DOS เวอร์ชั่นอะไรจำไม่ได้ โปรแกรมหลักๆ ก็คือ เวิร์ดจุฬา กับโลตัส 1-2-3 ไม่มีซีดีรอม ดูหนังฟังเพลงยังไม่ได้ ซื้อมาทำงานอย่างเดียว


ปี 2540 สำนักงานใหญ่ส่งวีดีโอสอนการใช้โปรแกรม MICROSOFT WORD 4 ม้วน และ EXCEL 4 ม้วน รวม 8 ม้วนมาให้ศึกษา ให้เวลา 1 สัปดาห์ต้องคืน ผมคำนวณดูแล้ว ไม่มีทางศึกษาได้ทัน ผมจึงต้องซื้อเครื่องเล่นวีดีโอแบบบันทึกได้ ราคา 9,900 บาท มาบันทึกไว้ทั้ง 8 ม้วน ลงทุนขนาดนี้แล้ว ต้องให้ได้ผลเต็มที่ ผมยอมลดเวลานอนลงวันละ 2 ชั่วโมง เพื่อศึกษา WORD & EXCEL จนใช้งานเป็น ความรู้ที่ได้เรียน ช่วยให้ผมทำงานได้สะดวกขึ้นมาก


ปี 2542 คอมพิวเตอร์ในยุคนั้นเริ่มดูหนังฟังเพลงได้ ผมจึงเอาคอมพิวเตอร์ของผมไปติดตั้งไดรฟ์ซีดีรอม และการ์ดเสียง แต่ว่าสเป็คของเครื่องมันไม่เหมาะ คือมันล้าสมัยแล้ว ในที่สุดต้องเปลี่ยนตัวใหม่ เป็นสเป็ค AMD K6-II 400 MHZ. SDRAM 32 MB. VGA SIS6326 8 MB. HARDDISK 4.3 GB. และการ์ดเสียง เวลาเพียง 3 ปี แม้ว่าเครื่องเก่าจะยังไม่เสีย แต่มันก็ไม่สามารถใช้งานตามต้องการได้ ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ เป็นเรื่องที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกคนควรเข้าใจและทำใจ อย่าเอาคอมพิวเตอร์ไปเปรียบเทียบกับของอื่นๆ เช่น ตู้เย็น เพราะอัตราเร็วในการพัฒนามันต่างกัน


กลางปี 2543 ผมเริ่มใช้อินเตอร์เน็ตกับคอมพิวเตอร์ของผม ผมยังทำอะไรเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ไม่ได้ จึงต้องยกเครื่องไปให้ทางร้านเขาติดตั้งโมเด็มและตั้งค่าให้ การที่คอมพิวเตอร์ใช้งานได้มากมายหลายทางยิ่งขึ้น ปัญหาอุปสรรคย่อมมีมากขึ้น ประกอบกับผมเพิ่งลาออกจากธนาคารใหม่ๆ และเห็นว่าตัวเองสนใจคอมพิวเตอร์ ผมน่าจะทำธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จึงลองไปเรียนที่พันธุ์ทิพย์ ประมาณ 2 เดือน และอ่านหนังสืออีกเป็นเข่ง จนผมมีความเข้าใจและสามารถจัดสเป็คเองได้ ในที่สุดผมซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องที่ 3 ในชีวิต เพื่อการเรียนรู้ เมื่อปี 2544 สเป็ค AMD DURON 700 SDRAM 128 MB. VGA TNT2M64 32 MB. HARDDISK 20 GB. เครื่องนี้เริ่มเล่นเกมส์สามมิติได้แล้ว ถ้าท่านสังเกตดูสเป็คคอมพิวเตอร์ของผม ลองเปรียบเทียบดูจากเก่ามาใหม่ จะเห็นได้ว่าค่าต่างๆ มันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ราคามันกลับถูกลง


ปลายปี 2545 ผมเปิดร้านคอมพิวเตอร์ ไล่เลี่ยกับการเปิดตัวของ WINDOWS XP ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่อีกแล้ว จะเอาเครื่องเก่าๆมาโชว์คงไม่เหมาะ สเป็คคอมพิวเตอร์เครื่องที่ 4 ของผม INTEL CELERON 1.7 GHZ. SDRAM 256BUS133 VGA ATI RADEON 7000 64 MB. HARDDISK 40 GB. ตัวนี้ไม่มีไดรฟ์ซีดีรอมนะครับ มีแต่ไดรฟ์ดีวีดีรอม กับไดรฟ์ CD-RW ซึ่งไรท์แผ่นได้ด้วย ในช่วงเวลานั้น ไดรฟ์ CD-RW เพิ่งเริ่มฮิตหลังจากที่ออกตัวมาแล้วปีเศษ เพราะราคาลดลงมาจนสามารถสัมผัสได้ ตอนนั้นราคา 2,500 บาท ในช่วงนั้นอุปกรณ์ต่อพ่วงก็ต่างลดราคาลงมาให้สัมผัสมากมาย เช่น สแกนเนอร์ เหลือ 4 พันกว่าบาท INKJET PRINTER เหลือสองพันกว่าบาท การ์ดทีวีก็สองพันกว่าบาท และแรมเริ่มพัฒนาเป็น DDR SDRAM หรือ DDR1 แต่ราคายังแพงอยู่


หลังจากนั้นประมาณ 1 ปีเศษ ประมาณกลางปี 2547 ตัวเก็บข้อมูลชนิดใหม่ก็เริ่มแพร่หลายในตลาด เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า THUMB DRIVE หรือ HANDY DRIVE หรือ FLASH DRIVE สุดแต่จะเรียกกัน แต่มันก็คือสิ่งเดียวกัน เป็นตัวเก็บข้อมูลเหมือนอย่างแผ่นดิสก์ แผ่นซีดี หรือฮาร์ดดิสก์ แต่มันไม่ต้องมีไดรฟ์สำหรับอ่าน เพียงเสียบเข้าไปในช่อง USB สักครู่ก็ไปปรากฏตัวอยู่ใน MY COMPUTER แล้ว ราคาตอนนั้นขนาด 64 MB. ก็พันกว่าบาทแล้ว (ลองเทียบกับราคาปัจจุบันดูเอาเองนะครับ) ทางด้านฮาร์ดดิสก์ มี INTERFACE ใหม่เป็น S-ATA แทนที่ IDE


ปี 2548 ผมเริ่มใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ADSL 256 KBPS. แล้วเพิ่มเป็น 512 KBPS., 1 MBPS. และปัจจุบัน(ปลายปี 2550) 1.5 MBPS. ในช่วงที่ผมทำธุรกิจคอมพิวเตอร์ ผมเปลี่ยนคอมพิวเตอร์นับไม่ถ้วน ไม่ใช่รวย แต่มันเป็นงาน เราต้องทดสอบของใหม่บ่อยๆ แล้วก็ขายต่อไป ซีพียูมันมีค่าสูงขึ้นๆ จนสูงสุด และในที่สุดมันก็ไม่ได้วัดกันที่ความเร็วอีกต่อไป มันวัดกันที่องค์ประกอบอื่นๆ ที่ผมจะไม่กล่าวถึง


ในปี 2548 นี้เอง FLASH DRIVE ซึ่งก็คือตัวเก็บข้อมูล มันไม่เพียงเก็บข้อมูลไว้ให้คอมพิวเตอร์อีกต่อไปแล้ว มันสามารถเล่นด้วยตัวเองได้ บันทึกเสียงได้ รับวิทยุได้ และมีที่เสียบหูฟัง นวัตกรรมที่ว่านี้เรียกว่า ตัวเล่น MP3 และพัฒนาต่อมาเป็น MP4 ซึ่งมีจอสำหรับดูภาพและคลิปวีดีโอได้


เกมส์ออนไลน์ก็เริ่มเฟื่องฟูในยุคนี้ ตามด้วยกล้องดิจิทอล (ซึ่งเปิดตัวมานานแล้ว แต่ราคาถูกจนแพร่หลายในช่วงนี้) กล้องดิจิทอลต้องใช้ลีลาท่าทางในการถ่ายต่างจากกล้องสมัยโบราณ ซึ่งต้องแนบติดกับตาช่างภาพ โทรศัพท์มือถือก็บูมสุดขีดในช่วงนั้นแหละแถมยังถ่ายรูปแทนกล้องดิจิทอลได้ด้วย และกลายเป็ยอวัยวะส่วนที่ 33 หรือเป็นปัจจัยที่ 5 ของคนสมัยใหม่ ในที่สุด


ปี 2549 ฮาร์ดแวร์เปลี่ยนจาก 32 บิท เป็น 64 บิท


ปี 2550 เปิดตัว WINDOWS VISTA , DDR II และ INTERFACE S-ATA II


เทคโนโลยีก้าวไปอย่างรวดเร็ว เราอาจไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตามในทุกเรื่อง การที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นมากกว่า แต่อย่างน้อยเราก็ควรรู้ว่า เทคโนโลยีไปถึงไหน และ "เรา" อยู่ตรงไหน

ขอเชิญทุกท่านที่เข้ามาอ่าน โปรดให้ความคิดเห็นและเพิ่มเติมประวัติศาสตร์ที่ผมร่ายยาวมาข้างตนด้วย เพราะเพียงประสบการณ์ของคนคนเดียวย่อมไม่สามารถบันทึกประวัติศาสตร์ได้ทั้งหมด คนเรานั้นอายุสั้น เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ที่ยาวไกล